อยากจะทำรีวิวนาฬิกาโรเล็กซ์ (Rolex) มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเพจแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหลงใหล ความคลาสสิค หรือว่าเป็นชื่อแรกที่ผู้คนมักจะนึกถึงเมื่อพูดถึงความนาฬิการะดับสูง แต่ทว่าการที่เราจะเลือกรีวิวนาฬิกา Rolex นั้นมีข้อจำกัด ถ้าเราไม่นำนาฬิกาจากคอลเล็กชั่นส่วนตัวมารีวิว การเดินเข้าไปในร้านของตัวแทนจำหน่ายในไทยแล้วขอถ่ายรูปนาฬิกานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับ blog นาฬิกาแบบออนไลน์แบบเรา โปรเจคที่ LWT อยากจะทำรีวิว Rolex จึงได้ถูกเก็บเข้าลิ้นชักแห่งความฝันเพื่อรอเวลาอยู่นานทีเดียว
ในปี 2559 ทีมงานของเราที่เยอรมนีได้ติดต่อตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีคือ WEMPE ซึ่งทางสาขาของเมือง Hannover นั้นยินดีที่จะสนับสนุนนาฬิกามาให้เรารีวิว แม้ว่ากลุ่มผู้อ่านของเราส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เป็นลูกค้าหรือรู้จักร้านของเขาด้วยซ้ำ นี่ทำให้โปรเจคการรีวิวนาฬิกา Rolex จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ทาง LWT จึงอยากขอขอบพระคุณคุณ Stephan Frank (ผู้บริหารสาขา) สำหรับความเชื่อใจและโอกาสที่มอบมาในครั้งนี้ครับ
สำหรับบทความนี้ LWT ได้เลือกนาฬิกาเป็นตระกูลที่เกี่ยวกับการบินพานิชย์ และหนึ่งในนาฬิการุ่นยอดนิยมตลอดกาลของแบรนด์คือ “GMT Master II (Ref. 116719BLRO)” หรือที่เราเรียกกันเล่น ๆ ว่า “เป๊ปซี่” (Pepsi) จากการที่ขอบหน้าปัด (Bezel) ที่แสดงเวลา 24 ชั่วโมงที่แบ่งเป็นสองสีคือ สีน้ำเงินและสีแดง ซึ่งดูเหมือนสีของยี่ห้อน้ำอัดลมเป๊ปซี่นั่นเอง
การบินข้ามเขตแดน และ จุดกำเนิดของเขตเวลา
ระยะทางเหนือมหาสมุทรเป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถของมนุษย์ในการพิชิตมาตลอด ตั้งแต่ยุคที่อาศัยแรงลมในการแล่นเรือจนกระทั่งถึงยุคของการใช้แรงยกดันปีกเทียมหรือ “เครื่องบิน” ขึ้นสู่ท้องฟ้า ระยะทางและเวลาในการเดินทางยังคงเป็นอุปสรรค ในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 สายการบินที่บินระหว่างทวีปจะยังคงใช้เครื่องบินน้ำบินแวะพักเติมเชื้อเพลิงตามสถานีของสายการบินที่ตั้งอยู่ตามเกาะต่าง ๆ แต่เมื่ออุตสาหกรรมการบินได้พัฒนาเครื่องยนต์ที่ให้แรงม้ามากขึ้น ออกแบบให้ตามอากาศพลศาสตร์มากขึ้น การเดินทางจึงสะดวกและเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
หนึ่งในสายการบินที่โด่งดังและเป็นที่ที่เหมือนแหล่งรวมความฝันของไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในการเดินทางคือ Pan America World Airways หรือย่อว่า “Pan Am” (แพนแอม) โลกของการแข่งขันนั้นสูงมาก แพนแอมจึงมองหาลู่ทางในการเปิดเที่ยวบินไปยังจุดหมายต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้ในการเดินทาง
และเนื่องจากโลกของเรานั้นแบ่งเป็นหลายเขตเวลา (Timezone) รวม 24 เขต เกิดความยุ่งยากทันทีในการดูเวลาโดยเฉพาะเที่ยวบินที่ใช้เวลามากแบบนี้ ในปี ค.ศ. 1954 ทางแพนแอมจึงส่งโจทย์ไปยัง Rolex ว่าให้ช่วยสร้างนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาได้หลายเขตเวลาที่อิงกับเวลามาตรฐาน GMT หรือ UTC หรือสำหรับนักเดินทางอย่างเรา ๆ สามารถดูเวลาที่จุดหมายและของที่บ้านได้พร้อมกันอย่างรวดเร็วทันทีที่ยกข้อมือมามอง นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน Rolex อีกฉบับในไลน์ “GMT Master“
GMT และ UTC
GMT หรือ Greenwich Mean Time (เวลามาตรฐานกรีนิช) และ UTC หรือ Universal Time Coordinated (เวลาสากลเชิงพิกัด) คือระบบเวลามาตรฐานที่ใช้เทียบหาเขตเวลา ซึ่งปัจจุบันคนส่วนใหญ่ได้นำมาใช้สลับกันโดยไม่เข้าใจถึงความแตกต่างกันซักเท่าไรนัก
ย้อนกลับไปในยุคของการเดินเรือการเทียบเขตเวลาของแต่ละประเทศ จะใช้เส้นแวงหรือเส้นเมอริเดียนที่เป็นเส้นสมมติที่ลากจากเหนือถึงใต้ ซึ่งจะกำหนดพิกัดเป็นองศาที่เรียกว่า “ลองจิจูด” (Longitude) โดยเส้นเมอริเดียนนี้จะแบ่งโลกออกเป็น 24 เขตหรือ 24 ชั่วโมง แต่ละเส้นจะห่างกัน 15 องศา (24 x 15 ก็จะได้ 360 องศาครบตามทรงวงกลมของโลก) ซึ่งในปี ค.ศ. 1884 มีการกำหนดให้เส้นเวลากรีนนิช (Greenwich) เป็นเส้นเวลา เมอริเดียนแรก หรือ “ไพร์มเมอริเดียน” (Prime Meridian) และเป็นลองจิจูด 0 องศา เป็นที่มาของคำว่า Greenwich Mean Time หรือ GMT
ด้วยการที่ GMT ไม่ได้มีการคำนวณเรื่องความคลาดเคลื่อนของวงโคจรระหว่างพระอาทิตย์กับโลก แต่เป็นการเปรียบเทียบโดยเฉลี่ยวันของเมืองกรีนนิช (เช่น เที่ยงวันตาม GMT คือการเฉลี่ยเวลาเที่ยงของเมืองกรีนิชตลอดทั้งปี) ดังนั้นการเกิดขึ้นของนาฬิกาอะตอมในปี ค.ศ. 1955 ทำให้มนุษย์สามารถวัดเวลาที่แม่นยำสูงจึงทำให้เวลามาตรฐาน GMT กับเวลาจากนาฬิกาอะตอมไม่ตรงกัน (แม่นยำถึงขนาดต้องทำให้มีการปรับนาฬิกาอะตอมด้วย leap seconds เข้าไปอย่างสม่ำเสมอเพื่อชดเชยความคลาดเคลื่อนของวงโคจรระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์) และในปี ค.ศ. 1960 อเมริกาและอังกฤษได้เริ่มมีการเทียบเวลาจากสัญญาณวิทยุจากนาฬิกาอะตอมที่ทำให้เกิด Universal Time Cooridinated หรือ UTC และด้วยเหตุผลนี้การกล่าวถึง GMT ในปัจจุบันจึงหมายถึง UTC ที่เทียบเวลาจาก “นาฬิกาอะตอม” ไม่ใช่เวลาจากเมืองกรีนิช
Rolex GMT Master II “Pepsi”
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้นั้นประทับใจนาฬิกา Rolex เสมอมาคือการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ แม้ไม่หวือหวาเหมือนนาฬิกายี่ห้ออื่นแต่คุณภาพในการผลิตนั้นสะท้อนถึงความเอาใจใส่และการทำการบ้านอย่างหนักของ Rolex ซึ่งนอกจากตัวเรือนที่เป็นไวท์โกลด์รุ่น Ref. 116719BLRO ตัวขอบหน้าปัดเซรามิก Cerachrom สองสีนั้นเป็นหนึ่งในนวัตกรรมของบริษัทที่ผมคิดว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้ผลิตต้องทำการวิจัยแลเข้าใจในศาสตร์ของวัสดุอย่างลึกซึ้ง รวมถึงทำการทดสอบที่มากมายกว่าจะสามารถทำเซรามิกสองสีโดยไม่ใช่สองชิ้นมาประกบกันได้แบบนี้
สีน้ำเงินของขอบหน้าปัดนั้นถ้าเรานำลองมาเทียบกับรุ่นขอบ ดำ-น้ำเงิน หรือ black – blueที่เรารู้จักกัน จะสังเกตได้ว่าสีน้ำเงินบนขอบของรุ่น Pepsi นั้นไม่ใช่น้ำเงินเดียวกับบน black-blue แต่จะเป็นสีที่อ่อนกว่าอย่างเด่นชัด ที่เป็นเช่นนี้เพราะส่วนผสมของเซรามิกที่แตกต่างกันจึงไม่สามารถทำให้สีนั้นเท่ากันได้อย่างแม่นยำ แต่ต้องยอมรับว่าขอบ Pepsi นั้นก็ทำให้เราแยกกลางวันและกลางคืนได้สะดวกมากขึ้นในที่ที่มีแสงน้อย (ไม่ใช่ว่าขอบหน้าปัดเรืองแสง แต่เพราะว่าการเล่นสีตัดกันอย่างสีแดงกับสีน้ำเงิน)
ส่วนประกอบของหน้าปัดนั้นจะประกอบไปด้วยเข็มวินาที นาที และชั่วโมง ตามนาฬิกาทั่วไป แต่ส่วนที่เพิ่มเติมขึ้นคือเข็ม GMT และขอบหน้าปัดหรือ bezel ที่หมุนได้ 2 ทิศ ซึ่งจะหมุนได้ step ละ 1 ชั่วโมง (อิงกับ 24 ชั่วโมงบนขอบหน้าปัด) ซึ่งผมได้ทำรูปออกมาให้ชมด้านล่าง สำหรับความชาญฉลาดของนาฬิกา GMT นั้นคือสามารถทำให้ผู้ใช้หรือนักบินในสมัยก่อนสามารถดูเวลาได้มากกว่าหนึ่งเขตเวลา ซึ่งตรงนี้ ผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงจะถามว่าดูได้กี่เขตเวลากัน?
ดังที่กล่าวมาในข้างต้นว่า GMT หรือ UTC นั้นเป็นเวลามาตรฐาน และเวลาในประเทศต่างๆจะเป็นเวลาที่อ้างอิงจากเวลามาตรฐาน ดังนั้นธรรมนักบินจะปรับเข็ม GMT และขอบหน้าปัดให้แสดงเวลา GMT อยู่เสมอเพื่อที่จะได้รู้ว่าเวลามาตรฐานคือเท่าไร (ไม่ใช่ตั้งเข็ม GMT ไปเป็นเขตเวลาที่ต้องการโดยสามเหลี่ยมของขอบหน้าปัดอยู่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา) และเมื่อต้องการที่จะให้ขอบหน้าปัดแสดงเขตเวลาที่ต้องการ นักบินจะต้องหมุนขอบหน้าปัดไปเขตเวลาที่ต้องการเพื่อแสดงเวลาของสถานที่ที่ต้องการซึ่งอ้างอิงกับเวลามาตรฐาน UTC
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นผมจึงได้ทำรูปหน้าปัดของ GMT Master II ขึ้นมา 4 รูปที่แสดงเวลาแตกต่างกันเป็น A. B. C. และ D. โดยสิ่งที่คุณต้องทำคือ จินตนาการว่าตัวคุณเป็นนักบินที่ตอนนี้อยู่ประเทศไทยและตั้งเวลาท้องถิ่นเป็น UTC+7 ซึ่งเป็นเวลา 07:15 น. และตั้งเข็มแดงไว้ที่ 00:15 น. เพื่อแสดงเวลามาตรฐาน UTC (รูป A.) เมื่อนักบินจะต้องบินไปที่ญี่ปุ่นซึ่งตรงกับเขตเวลา UTC +9 ก่อนบินนักบินก็บิดขอบหน้าปัดทวนเข็มนาฬิกาไป 9 สเต็ปจะได้เวลา UTC+9 ที่เท่ากับ 09:15 น. (รูป B.) นักบินจะสามารถอ่านเวลาที่ไทยและที่ญี่ปุ่นได้พร้อมกัน เมื่อนักบินมาถึงที่ญี่ปุ่นและอาจจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็จะปรับเข็มสั้นเข็มยาวให้เป็นเวลาท้องถิ่นที่ญี่ปุ่น และปรับขอบหน้าปัดกลับไปแสดงเวลามาตรฐานเหมือนเดิม (รูป C.) สุดท้ายนักบินจะต้องบินกลับมาประเทศไทย ก็ปรับเวลาจุดหมายเป็นประเทศไทยโดยปรับขอบหน้าปัดโดยหมุนทวนเข็มนาฬิกาไป 6 สเต็ป จะได้เวลา UTC+7 ที่เท่ากับ 07:15 น. (รูป D.)ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ใช้สามารถอ่านเวลาจากนาฬิกา GMT Master II ได้พร้อมกัน “สองเขตเวลา” เท่านั้น แต่เวลาบนขอบหน้าปัดจะอิงกับเวลามาตรฐาน GMT หรือ UTC ทำให้การใช้งานนั้นเกี่ยวข้องกับ “สามเขตเวลา” เพราะเวลาบนขอบหน้าปัดจะต้องเป็นเวลาที่อ้างอิงจากเวลามาตรฐานเท่านั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเรามีมือถือที่แสดงเวลาที่เทียบกับอินเตอร์เน็ตอย่างแม่นยำ ผู้ใช้อาจจะปรับเข็ม GMT ไปเป็นเขตเวลาที่ตัวเองต้องการได้เลยโดยไม่ต้องอิงกับเวลามาตรฐานจะสะดวกกับการใช้งานมากขึ้น (แต่การใช้ที่ถูกต้องต้องให้เข็ม GMT อิงจากเวลามาตรฐานเท่านั้น)
น้ำหนักของตัวเรือนและสายที่เป็นไวท์โกลด์ทำให้นาฬิกาเรือนนี้นั้นมีน้ำหนักมาก ใส่ในช่วงแรกอาจจะไม่ชินสำหรับผู้ที่ใส่นาฬิกาที่ทำด้วยเหล็กกล้าไร้สนิม (stainless steel) หรือวัสดุน้ำหนักเบาอื่นๆ นอกจากการปรับขนาดของสายที่ต้องขันสกรูและนำข้อสายนาฬิกาออกไป ก็สามารถปรับระยะที่ตัวล็อคสายได้ (Folding Oysterlock safety clasp ) และสำหรับนาฬิกาที่เป็นโลหะจะมีการยืดหดตัวสำหรับต่างประเทศในฤดูหนาวสายนาฬิกาจะหดตัวอาจจะทำให้ใส่แล้วแน่นดังนั้นจึงมี Easylink บนตัวล็อคสายที่จะสามารถขยายได้ด้วยการดึงข้อสายได้อีก 5 มิลลิเมตร
เรื่องคุณภาพต้องยอมรับว่านาฬิกา Rolex สามารถทำได้ดีเยี่ยม รวมถึงชื่อเสียงของแบรนด์ที่สะสมมาอย่างดีจากในอดีต และด้วยตัวเรือนจากไวท์โกลด์ทำให้นาฬิกาเรือนนี้เป็นตัวที่ราคาสูงที่สุดในรุ่น GMT Master II ซึ่งในช่วงราคาขนาดนี้มีตัวเลือกอื่นของแบรนด์ระดับที่สูงกว่า แน่นอนว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้การตัดสินใจซื้อนาฬิกาเรือนนี้เป็นสิ่งที่ “ทำใจยาก” สำหรับใครหลายคน แต่ถ้าเป็นคนที่ “รักจริง” และต้องการไต่ระดับความสัมพันธ์กับ Rolex ขึ้นไปอีกขั้น นาฬิกา GMT Master II Ref. 116719BLRO หรือ Pepsi ไวท์โกลด์เป็นเรือนหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาหรือจับมางับขึ้นข้อเป็นอย่างยิ่ง
อ้างอิง
- Fratello.Fasten Your Seatbelt – Rolex GMT-Master History
- Heaton,Jason.THE GMT WATCH EXPLAINED
- Giles. The Rolex GMT Master ‘Pepsi’ – A Brief History
- Rolex GMT Master History
เครดิตภาพ
[1] “Boeing, Type 377, Stratocruiser” โดย SDASM Archives[3] “Image taken from page 164 of ‘A Class-Book of Physical Geography … New edition, revised and largely rewritten by R. A. Gregory‘” โดย The British Library
ขอขอบคุณ: www.lwqponline.com